วันอังคารที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ในฝันกับมายาภาพแห่งชีวิตจริง

“…สิ่งต่างๆที่เราเห็นอยู่นั้น ไม่คงทน…แน่นอน…
สิ่งที่เราประสบอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันนี้
ที่แท้ก็เหมือนภาพมายา มันเปลี่ยนแปลงได้ สูญสลายได้
เหมือนอย่างที่เรานอนฝัน พอลืมตาตื่นขึ้นก็หายไปหมด…” เป็นข้อความตอนหนึ่งในลายพระหัตถ์ของเจ้าชายโอริสสาวัฒนาที่ทรงไว้ถึงเจ้าหญิงพรรณพิลาศผู้เป็นดังยอดดวงพระหทัย จาก “ในฝัน” นวนิยายรักที่ทั้งเฉียบคมทางความคิดและละมุนละไมด้วยความอ่อนหวานแห่งถ้อยคำผ่านนามปากกา “โรสลาเรน” หนึ่งในนามปากกาของวิมล ศิริไพบูลย์ ผู้โลดแล่นบนถนนสายวรรณกรรมอย่างภาคภูมิเป็นเวลากว่า50ปี

ข้อความตอนนี้เป็นสัจธรรมชีวิตที่ไม่มีใครปฏิเสธได้ ตราบใดที่มนุษย์ยังคงเดินตามวิถีโลก โลกก็จะสร้างแบบทดสอบชีวิตมาทดสอบมนุษย์อยู่ตลอดเวลา และรอจังหวะที่มนุษย์ผู้หลงระเริงก้าวพลาดพลั้ง โลกก็พร้อมที่จะกระหน่ำซ้ำเติมและมอบรอยแผลเป็นแห่งชีวิตไว้เป็นสิ่งเตือนใจ เป็นความจริงที่มนุษย์ต้องทำใจยอมรับโดยไม่สามารถหลีกหนีได้

แม้แต่เจ้าหญิงพรรณพิลาศเองยังทรงดำริว่า “จริงซินะ...ในความฝันดูเหมือนอะไรๆก็จะสดใส น่าดู น่าชมไปหมด แต่ครั้นแล้วเมื่อความจริงมาถึงเราก็ต้องประสบกับความสูญเสีย หน้าที่ของเรามีอยู่อย่างเดียวคืออดทน!”

สาระสำคัญที่ผู้แต่งต้องการนำเสนอก็คือ แม้ว่าในฝันนั้นจะหอมหวาน สวยงามสักเพียงใด แต่เมื่อเราตื่นขึ้นมาพบกับความจริงอันแสนเจ็บปวด เราก็ต้องทำใจให้พร้อมที่จะดำเนินชีวิตต่อไป หลายต่อหลายครั้งที่แบบทดสอบชีวิตไม่มีคำตอบที่สมเหตุสมผลนักสำหรับมนุษย์ผู้ตกเป็นจำเลยในการเล่นตลกของโชคชะตา คำตอบสุดท้ายที่ไม่มีใครปฏิเสธก็คือ “ความไม่แน่นอน” ที่ยังคงอยู่เสมอไม่เปลี่ยนแปลง แต่เมื่อจำเป็นต้องประสบกับเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝัน สิ่งที่พอจะทำได้ก็คือการยอมรับและทำความเข้าใจกับชีวิตเพื่อนำไปสู่การค้นหาคำตอบว่าเราจะใช้ชีวิตอยู่อย่างไรในปัจจุบัน ที่สำคัญต้องพร้อมที่จะก้าวต่อไปด้วยกำลังที่มีอยู่ ถึงแม้ว่าโลกจะโหดร้ายนัก แต่ความโหดร้ายนั้นทำให้เราได้ “คิด” และ “เรียนรู้”มากขึ้น ทำให้เรามองย้อนกลับไปในอดีต ทำให้เรามุ่งไปสู่อนาคต และทำให้เราได้คิดหาทางออกที่ดีที่สุดสำหรับตัวเอง

สิ่งหนึ่งที่ข้าพเจ้าได้ตระหนักจากข้อความตอนนี้ก็คือเราอาจจะคิดว่ายังมีเวลาอีกมากที่จะทำเพื่อคนที่เรารัก จึงผัดวันประกันพรุ่งหรือรอโอกาสสำคัญอยู่ แต่ทว่าไม่มีใครรู้ว่าวันข้างหน้าจะเกิดอะไรขึ้น เราต้องทำทุกเวลาให้มีค่าและเกิดประโยชน์ที่สุด เพราะโอกาสสำคัญนั้นอาจจะไม่มีวันมาถึงอีกเลยก็ได้ เมื่อผ่านเลยเวลานั้นไปแล้วจะได้ไม่มีคำว่า “สายเกินไป” และต้องเสียใจเมื่อได้รำลึกถึงเหตุการณ์นั้นอีกครั้ง อย่างที่เจ้าหญิงพรรณพิลาศได้รำพึงรำพันถึงเจ้าชายโอริสสาว่า “ถ้าหม่อมฉันรู้สึกนิดว่าเวลาของเรามีน้อย…ถ้ารู้สักนิดว่าจุดจบของเราจะเป็นอย่างนี้ พรรณพิลาศจะรัก’ริสาให้มากกว่านี้ จะถวายความสุขให้สมกับระยะอันยาวนานที่จะต้องจากกันเพื่อสำหรับจะได้ระลึกถึงความหวานชื่นที่ผ่านมาเก็บไว้เป็นสิ่งหล่อเลี้ยงบำรุงใจยามที่จะต้องทนทุกข์ทรมานอยู่โดดเดี่ยวตลอดไป…” ซึ่งไม่มีประโยชน์อันใดกับการเพ้อพร่ำรำพันกับตัวเองฝ่ายเดียว โดยที่ผู้ที่เราคะนึงหาไม่มีวันได้รับรู้ถ้อยคำที่กลั่นมาจากก้นบึ้งหัวใจเช่นนั้นอีกแล้ว

ดังนั้นการใช้ชีวิตอย่างมีสติ รู้เท่าทันความคิดและการกระทำของตนเอง ไม่ลุ่มหลงมัวเมาไปกับปัจจัยปรุงแต่งภายนอกไม่ว่าจะเป็นลาภ ยศ สรรเสริญ คงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่มนุษย์ต้องทำให้ได้ ถึงแม้จะเป็นสิ่งที่ยากสำหรับผู้ที่เดินตามกระแสกิเลสด้วยความหลงระเริงก็ตาม

ในฝันเป็นนวนิยายเรื่องหนึ่งที่แฝงข้อคิดในการดำเนินชีวิต สะท้อนวิธีการอยู่ร่วมกันในสังคม เสนอชั้นเชิงทางความคิดของผู้ที่เป็นผู้นำ และสิ่งที่สำคัญที่สุด “ความรัก” ที่คนสองคนมอบให้กันนั้น ทำให้ผู้อ่านสัมผัสได้ถึงความ ‘จงรัก’และ‘ภักดี’ ยิ่ง แม้ในบางครั้งความรักจะทุรนทุราย หรืออ่อนไหว กรุ่นไปด้วยความห่วงหาอาทร แต่ความรักก็เติมเต็มความสุขให้กับโลก หากโลกนี้ไม่มีความรักเสียแล้ว มนุษย์คงไม่รับรู้ถึงความเจ็บปวดทุกข์ทรมาน และคงจะชาชินกับสิ่งรอบตัว ความรักนั่นเองที่ก่อให้เกิดวรรคทองที่ข้าพเจ้าชื่นชอบวรรคนี้ ความรักช่วยเติมเต็มหัวใจเจ้าชายโอริสสา ความผูกพันสร้างถ้อยคำอันคมคายผ่านเจ้าหญิงพรรณพิลาศ และความรักคงเป็นสิ่งเดียวที่อยู่เหนือความไม่แน่นอนทั้งปวง แม้ยามฝันความรักจะสวยงามเพียงไร ยามตื่นความรักก็ยังคงงดงามไม่สร่างซา






วันจันทร์ที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ห่วงหาคนห่างเหิน

ห่างเหินใช่ห่างหาย
เพราะหัวใจยังห่วงหา
ห่างหายไกลลับตา
ห่างเหินพาไกลลับใจ
ห่วงหวงและห่วงหา
แต่ทว่ายังห่างเหิน
ห่างหายเพราะไกลเกิน
หากหัวใจยังผูกพัน