วันอังคารที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2550

ปีกแห่งความฝัน




คุณเคยใช้ชีวิตอย่างไร้จุดหมาย ปล่อยให้ชีวิตตกเป็นเครื่องมือของโชคชะตาโดยที่ไม่กล้าลุกขึ้นมาต่อสู้ขัดขืนบ้างหรือไม่ เคยไหมกับการถูกคนอื่นมาควบคุม และกำหนดความเป็นไปของชีวิตเรา แต่ทำไมเราถึงไม่มีสิทธิได้เลือกทางเดินชีวิตของตนเอง ตัวฉันเองก็เคยตั้งคำถามนี้อยู่ในใจเช่นกัน


เมื่อฉันศึกษาในระดับชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 3 มีหลายคนถามฉันถึงเรื่องการเลือกเรียนแผนการเรียนศิลป์ หรือวิทยาศาสตร์ ฉันมีคำตอบอยู่ในใจเป็นเวลานานแล้ว ฉันเองอยากเรียนศิลป์-คำนวณ เพราะเป็นสาขาที่ฉันถนัดและสามารถเรียนได้ดี เมื่ออาของฉันซึ่งเป็นครูสอนโรงเรียนมัธยมศึกษาอีกแห่งหนึ่งได้ฟังคำตอบนี้ เขาส่ายหน้าแล้วบอกให้ฉันเรียนโปรแกรมวิทยาศาสตร์ด้วยเหตุผลที่ว่า “เรียนสายวิทย์แล้วเลือกเรียนต่อได้กว้างกว่า” ช่วงเวลานั้นฉันสับสนตัวเองมาก จุดยืนของฉันเริ่มขุ่นมัวลง ฉันถามตัวเองในเวลานั้นว่า ฉันจะทำตามความต้องการของตนเองหรือทำตามความต้องการของอาดี แต่ถึงกระนั้นฉันได้ยื่นความจำนงในใบสมัครสอบเข้าศึกษาต่อชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 4 ว่าต้องการศึกษาในแผนการเรียนศิลป์-คำนวณ


เหมือนโชคชะตากลั่นแกล้ง ในวันประกาศว่าจะได้อยู่ห้องไหนเพื่อนของฉันโทรศัพท์มาแสดงความยินดีที่ฉันได้เรียนห้อง 1 แผนการเรียนวิทยาศาสตร์ อาจารย์บอกว่าคะแนนของฉันสูงเป็นที่ 2 ของระดับชั้น ฉันแทบไม่เชื่อหูตัวเองทีเดียว คำถามมากมายดังขึ้นในใจ “เข้ามาได้ก็คงเรียนได้ แต่ใจชอบรึป่าว” “ทำไมถึงทิ้งความฝันตัวเอง” ฯลฯ แต่อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่ใจแข็งพอที่จะย้ายแผนการเรียน พ่อแม่ของฉันสนับสนุนเต็มที่ ฉันเห็นสีหน้าอันมีความสุขของท่าน ฉันจึงต้องอดทนเรียนอย่างเต็มที่ เนื่องด้วยธรรมชาติของฉันไม่ใช่คนที่ถนัดด้านการคิดคำนวณ ฉันจึงต้องขยันเป็นพิเศษ ซึ่งผลของความขยันของฉันทำให้ฉันได้เกรด 3.94 แต่จิตใต้สำนึกบอกกับฉันว่า “นี่ไม่ใช่ตัวฉัน มันไม่ใช่ความต้องการของเรา ตัวเธอมันไม่ใช่สายวิทย์” ฉันพยายามดับความคิดฟุ้งซ่านนี้แล้วตั้งใจเรียนต่อไป


ช่วงเวลาของการเตรียมตัวสอบเอ็นทรานส์มาถึง เพื่อนๆทุกคนเร่งอ่านหนังสือเพื่อให้จบทันการสอบในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ฉันเองเริ่มต้นด้วยวิชาที่ไม่ถนัดอย่างวิชาฟิสิกส์ แต่แล้วก็ล้มเหลวเพราะความเบื่อหน่าย ฉันได้ขอให้อาของฉันสอนวิชาสังคมให้ ฉันรู้สึกสนุกกับการทำข้อสอบวิชาสังคมและภาษาไทยมาก เสียงเดิมได้ดังขึ้นในใจว่า “นี่แหละตัวฉัน” อาของฉันบอกให้ฉันเรียนเภสัชศาสตร์ เพราะจบมางานสบายและรายได้ดี ฉันแย้งขึ้นมาว่า ฉันอยากเรียนอักษรศาสตร์ แต่อาไม่สนับสนุน และบอกว่าคะแนนสอบออกเมื่อไหร่ค่อยมาคุยกันอีกที “แม่อยากให้ลูกเรียนบริหารธุรกิจนะ จบมาจะได้ช่วยแม่ทำงานได้”
“ไม่มีอาชีพไหนดีไปกว่าธุรกิจส่วนตัวแล้ว เรียนบริหารเถอะ”
พ่อและแม่ต่างก็คาดหวังให้ฉันเรียนคณะบริหารธุรกิจและฉันก็สามารถสอบเข้าโครงการรับนักเรียนที่มีผลการเรียนดีเข้าศึกษาต่อในคณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ฉันและคนในครอบครัวตื่นเต้นกับข่าวนี้มาก ตัวฉันเองถึงแม้จะมิได้สนใจสายงานในคณะนี้มากนัก แต่เมื่อพูดถึงจังหวัดเชียงใหม่ ความรู้สึกดีๆก็ก่อตัวขึ้นเสมอ แหล่งวัฒนธรรมล้านนาอันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว มองไปทางใดก็เห็นแต่ภูเขาสูงตระหง่านโอบล้อมเมือง บรรยากาศสดชื่นไม่ร้อนไม่หนาวจนเกินไป สถานที่ท่องเที่ยวมากมายที่สร้างความประทับใจไม่รู้ลืม ฉันจึงยืนยันการเข้าศึกษาต่อในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แต่หลังจากนั้นคำถามเดิมๆได้เข้ามารบกวนจิตใจอยู่ตลอดเวลา “ฉันคือใคร ต้องการอะไร จะไปไหน เพื่ออะไร”


จากนั้นฉันจึงเริ่มต้นใหม่กับการอ่านหนังสือ ฉันวางแผนการอ่านหนังสืออย่างเป็นระบบ และเอาจริงเอาจังกับข้อสอบวิชาต่างๆอีกครั้ง ด้วยจุดมุ่งหมายเดียว ตามความฝันของตัวเองไป ถึงจะยาก แต่ก็ไม่เกินความพยายาม


แล้ววันประกาศผลเอนทรานส์ก็มาถึง นักเรียนทั่วประเทศต่างรอคอยอยู่หน้าเครื่องคอมพิวเตอร์อย่างใจจดจ่อ ฉันก็เช่นเดียวกัน เสียงกรีดร้องดังลั่นบ้านด้วยความดีใจ ทุกคนในบ้านหันมามองฉันเป็นตาเดียวกัน ฉันยิ้มแล้วบอกกับทุกคนว่า “ นุ้ยติดคณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร นุ้ยเป็นลูกทับแก้วแล้ว”


เมื่อการปฐมนิเทศนักศึกษาใหม่ผ่านไป แต่มีบทกวีบทหนึ่งยังอยู่ในใจของฉัน
“ ฉันเยาว์ ฉันเขลา ฉันทึ่ง
ฉันจึงมาหาความหมาย
ฉันหวังเก็บอะไรไปมากมาย
สุดท้ายให้กระดาษฉันแผ่นเดียว ”


บทกวีบทนี้มีที่มาจากหนังสือฉันจึงมาหาความหมายของอาจารย์วิทยากร เชียงกูร ฉันจำได้ขึ้นใจเลยทีเดียว แล้วฉันก็บอกกับตัวเองว่า “ ไม่ มันจะไม่ใช่แค่กระดาษใบเดียวอย่างแน่นอน ”


ขณะที่ฉันเดินผ่านศาลาสระแก้ว สะพานไม้ที่ทอดยาวกลางสระแก้วช่างสวยงามสะกดสายตายิ่งนัก ในใจของฉันได้พูดขึ้นมาว่า “ ในที่สุดเราก็ซื่อสัตย์ต่อความใฝ่ฝันของตัวเองซะที ”

ความฝัน จะไม่มีวันสัมผัสได้ ถ้าคุณไม่ลงมือปั้นแล้วประดิดประดอยด้วยตนเอง
...กล้าที่จะก้าว ...เมื่อคุณมีก้าวแรกเป็นของตัวเองแล้ว ก้าวต่อไปจะมีอะไรน่ากลัวอีกล่ะ